การเลิกจ้างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายองค์กร และในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง กฎหมายแรงงานในประเทศไทยกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการสูญเสียงาน ในบทความนี้จะสำรวจหลักการเกี่ยวกับค่าชดเชยเลิกจ้าง รวมถึงข้อกำหนดและวิธีการคำนวณ ดังนั้นแรงงานจึงจำเป็นต้องมี “หลักประกัน” หรือ “ค่าชดเชย” เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมีเงื่อนไขในการคุ้มครองหลายรูปแบบ
สิทธิค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ซึ่งระบุเกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้างในการได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ “เลิกจ้างแบบไม่เป็นธรรม” หมายถึงตัวเราไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้า โดยลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชยเท่ากับฐานเงินเดือนล่าสุดและจำแนกเป็นขั้นบันไดตามอายุงานดังนี้
- ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี : ได้รับเงินชดเชย 30 วัน
- ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี : ได้รับเงินชดเชย 90 วัน
- ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี : ได้รับเงินชดเชย 180 วัน
- ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี : ได้รับเงินชดเชย 240 วัน
- ทำงาน 10 ปีขึ้นไป : ได้รับเงินชดเชย 300 วัน
- ลูกจ้างทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างสุดท้าย 400 วัน
ค่าตกใจ หรือค่าบอกกล่าวล่วงหน้า มีเงื่อนไขดังนี้:
- เลิกจ้างทั่วไป: นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเต็มเดือนหากไม่แจ้งเลิกจ้างล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ตามรอบการจ่ายค่าจ้างปกติ.
- เลิกจ้างเพื่อปรับปรุงหน่วยงานหรือลดจำนวนลูกจ้าง: ต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน หากไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าจะได้เงินชดเชยค่าจ้าง 60 วัน.
- เลิกจ้างเนื่องจากย้ายสถานที่ประกอบการ: ต้องแจ้งล่วงหน้า 30 วัน หากไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าจะได้รับเงินชดเชยค่าจ้าง 30 วัน หากลูกจ้างไม่ต้องการย้าย สามารถได้รับค่าชดเชยเพิ่มเติม 50% ของค่าชดเชยที่สามารถได้รับ
พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ระบุเงื่อนไขที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยหากเลิกจ้างพนักงานในกรณีเช่นการปรับปรุงหน่วยงาน พนักงานทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุจำเป็น หรือพนักงานลาออกเอง การรู้เรื่องนี้จะช่วยให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างรู้ถึงสิทธิ์และข้อผูกพันเกี่ยวกับการเลิกจ้างได้ดีขึ้น