Author: Tattawan Phoophinyo
-
การกลั่นแกล้งในที่ทำงาน: สิทธิและการคุ้มครองที่ควรรู้
พฤติกรรมการกลั่นแกล้งในที่ทำงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงและสามารถส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ ในประเทศไทย มีการบังคับใช้กฎหมายที่คุ้มครองผู้ถูกกลั่นแกล้งในที่ทำงาน ซึ่งหนึ่งในมาตราที่สำคัญคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 “ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท” ซึ่งการกระทำที่มีลักษณะเป็นการข่มเหง ข่มขู่ หรือกลั่นแกล้งซึ่งกันและกัน โดยอาจเกิดจากเพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน หรือแม้แต่จากผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น ได้รับมอบหมายงานที่ไม่สามารถทำได้ ถูกดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรงต่อหน้าคนในองค์กร หรือ ถูกข่มขู่ว่าจะลดเงินเดือนหรือลดประโยชน์ การกระทำเหล่านี้สามารถเป็นทั้งคำพูดและการกระทำที่ทำให้เกิดความเครียดและส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ดังนั้น มาตรา 397 จึงมีขึ้นเพื่อปกป้องผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิในที่ทำงานให้สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ที่กระทำการรังแกได้ โดยเน้นการป้องกันข้อพิพาทระหว่างบุคคลไม่ให้เรื่องราวบานปลายใหญ่โต และป้องกันไม่ให้ความผิดอาญาขยายใหญ่เกินไป จนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุข สำหรับความผิดตามมาตรานี้นั้นจะเป็นความผิดแบบลหุโทษ ซึ่งหมายถึงความผิดที่จริง ๆ แล้วถือว่ายอมความกันได้ในชั้นของพนักงานสอบสวน แต่ถ้าหากผู้เสียหายอยากต่อสู้จนถึงที่สุด ก็สามารถดำเนินการร้องทุกข์ต่อไปได้ เพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไปได้เช่นกัน การกลั่นแกล้งในที่ทำงานเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม และมีการคุ้มครองตามกฎหมายที่ชัดเจน ผู้ถูกกระทำควรรู้ถึงสิทธิของตนและสามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อปกป้องตนเอง นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นบวกและปราศจากการกลั่นแกล้งยังเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรให้ความสำคัญเพื่อสุขภาพจิตและความสุขในการทำงานของพนักงานทุกคน
-
สอบสวนกลางจ่อบุกเรือนจำ แจ้งข้อหาเพิ่ม 18 บอส ‘ดิ ไอคอน’ เร่งพิจารณาปมเข้าข่าย‘คดีพิเศษ’
เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. มีคำสั่งให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้ามาร่วมสอบสวนในคดี “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าในการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับบรรดาบอสทั้ง 18 คนพล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. และ พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. ได้หารือกันเกี่ยวกับการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม โดยข้อหาหลักที่จะถูกแจ้งคือการฟอกเงิน พร้อมกับความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินและข้อหาอื่น ๆ เช่น อั้งยี่และซ่องโจร เนื่องจากมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายองค์กรอาชญากรรมทีมสอบสวนเตรียมเข้าไปแจ้งข้อหาในเรือนจำภายในสัปดาห์นี้ โดยจะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินและสถานะทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้งหมด เพื่อรวบรวมหลักฐานให้แน่ชัดเกี่ยวกับการกระทำผิดนอกจากนี้ หลังจากการแจ้งข้อหาฟอกเงินแล้ว ทีมสอบสวนจะหารือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ว่าจะมีการส่งสำนวนไปดำเนินคดีต่อหรือไม่ เนื่องจากคดีนี้มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษในส่วนของการขยายผลไปยังผู้ต้องหากลุ่มที่สอง ทีมสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกหรือหมายจับเพิ่มเติมในกลุ่มแม่ข่ายและพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการลงนามในเอกสารที่มีผลทางกฎหมาย คาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบอีกสักระยะก่อนมีความชัดเจนเพิ่มเติม
-
สาวเครียดสมัครงานเป็นคนขับรถ เจอ ‘หนี้เงินกู้ก้อนโต’ บริษัทโต้กลับยืนยันตามขั้นตอน
ที่เมืองกุ้ยหยาง, ประเทศจีน ได้เกิดข้อพิพาทขึ้นเมื่อคุณหยาง (นามสมมุติ) สาวผู้สมัครงานเป็นคนขับรถขนส่งสินค้า เล่าถึงประสบการณ์เครียดหลังจากเซ็นสัญญา ซึ่งทำให้เธอต้องรับผิดชอบหนี้เงินกู้ถึง 62,000 หยวน (ประมาณ 288,650 บาท) สำหรับการซื้อรถมือสองคุณหยางเล่าว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอได้ไปสัมภาษณ์งานและตกลงเรื่องเนื้อหางานและเงินเดือน “เขารินน้ำให้ฉันหนึ่งแก้ว และเมื่อฉันดื่มมัน รู้สึกเหมือนมีบางอย่างสะกดฉันไว้ ฉันเพียงแค่ทำตามที่เขาบอก” ต่อมาเธอพบว่าตนเองรู้สึกเหมือนถูกหลอกเมื่อพบว่าตนเองได้เซ็นสัญญากู้เงินเพื่อซื้อรถเมื่อถูกนักข่าวสอบถามว่าเธอไม่ได้อ่านเนื้อหาสัญญาหรือไม่ คุณหยางเผยว่า การศึกษาของเธอต่ำทำให้ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่เซ็นได้ด้านตัวแทนของบริษัทที่ถูกกล่าวถึง ชี้แจงว่า หากพนักงานไม่มีรถ บริษัทจะจัดหาให้ แต่เงินเดือนจะต่ำกว่า ในกรณีที่ซื้อรถเอง บริษัทจะมอบหมายงานขนส่ง และคุณหยางยอมรับว่าเธอรู้ถึงขั้นตอนการเซ็นสัญญาบริษัทยังอ้างว่าคุณหยางต้องรับผิดชอบเงิน 30,000 หยวน (ประมาณ 139,800 บาท) หากต้องการคืนรถ ซึ่งรวมค่าธรรมเนียมการซื้อคืนและเบี้ยประกัน ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ และคุณหยางตั้งใจจะรายงานเรื่องนี้ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความเป็นธรรม
-
ความแตกต่างระหว่าง “ธุรกิจขายตรง” กับ “แชร์ลูกโซ่”
ในยุคที่การทำธุรกิจออนไลน์กำลังเฟื่องฟู การเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของการลงทุนจึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่าง “ธุรกิจขายตรง” และ “แชร์ลูกโซ่” โดยเริ่มมีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545” เนื่องจากเริ่มมีการระบาดของธุรกิจแอบแฝงที่เรียกว่า “แชร์ลูกโซ่” ที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมาก พระราชบัญญัตินี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับธุรกิจขายตรง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคและการปกป้องสิทธิของผู้ลงทุนอีกด้วย การขายตรง เป็นโมเดลธุรกิจที่ผู้ขายสามารถจำหน่ายสินค้าโดยตรงให้กับผู้บริโภค โดยไม่ต้องมีการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าหรือช่องทางการขายอื่น ๆ ซึ่งลักษณะสำคัญของการขายตรง 1.ผู้ประกอบธุรกิจต้องจดทะเบียนก่อนการประกอบธุรกิจขายตรงกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค 2.ค่าธรรมเนียมในการสมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรงต้องมีความเหมาะสม เงินค่าสมัครจ่ายเพื่อคู่มือความรู้ เอกสารฝึกอบรม และสินค้าตัวอย่างเท่านั้น 3.มีความรับผิดชอบต่อผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง โดยมีแผนธุรกิจที่เป็นไปได้จริง และคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจในระยะยาว 4.การจ่ายผลตอบแทน รายได้ และตำแหน่ง ให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง ต้องมาจากการขายสินค้าหรือบริการ ไม่ใช่การระดมทุนหรือใช้เงินซื้อตำแหน่ง โดยผู้ประกอบการจะต้องยื่นแผนธุรกิจในการจ่ายผลตอบแทนเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาและอนุมัติ 5.เน้นการจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ ยอดขายมาจากการจำหน่ายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคโดยตรอ ไม่ได้มาจากการกักตุนสินค้าของผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง และคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ 6.มีการรับประกันความพอใจของสินค้า โดยลูกค้าสามารถคืนสินค้ากับบริษัทได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด 7.มีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการดำเนินธุรกิจ เพื่อปกป้องผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง และผู้บริโภค 8.ผู้ประกอบธุรกิจ ผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง ต้องไม่กล่าวอ้างหรือโฆษณาสรรพคุณของสินค้าเกินจริง การแชร์ลูกโซ่ เป็นกลโกงทางการเงินที่มีรูปแบบการดำเนินงานคล้ายคลึงกับธุรกิจขายตรง แต่ไม่มีการขายสินค้าหรือบริการที่แท้จริง ฃโดยมักจะสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทที่น่าเชื่อถือและมีอนาคตที่สดใส อ้างว่ามีผลตอบแทนที่สูงและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในระยะเวลาอันสั้น ลักษณะสำคัญของแชร์ลูกโซ่ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองรูปแบบนี้อยู่ที่ธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจและความโปร่งใส ในขณะที่ธุรกิจขายตรงเน้นการขายสินค้าหรือบริการอย่างแท้จริง…
-
การคุ้มครองสิทธิลูกหนี้
เรื่องเงินและทรัพย์สินมักก่อให้เกิดปัญหาที่ทำให้หลายคนรู้สึกเครียด โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการหยิบยืมเงิน ซึ่งส่งผลต่อทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งทางจิตใจและสังคม ในบทความนี้จะพูดถึงกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิลูกหนี้ในกระบวนการทวงหนี้ ตามพระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558: กฎหมายนี้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการทวงหนี้ และ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล: ป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกหนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ใครมีสิทธิ์ทวงหนี้ ตามกฎหมาย ผู้ทวงถามหนี้ หรือเจ้าหนี้ มีสิทธิ์ในการทวงหนี้ที่เกิดขึ้นจากสัญญาหรือข้อตกลงที่ถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องเป็นบุคคลเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นตัวแทนของนิติบุคคล ในนามของบริษัทสินเชื่อ, ประกัน, ธนาคาร, เจ้าหนี้นอกระบบ และอื่นๆ ได้ การนับความถี่และขอบเขตการทวงหนี้ การทวงหนี้จะนับเมื่อลูกหนี้รับทราบการทวงอย่างชัดเจน การติดต่อที่ไม่ได้เจาะจงถึงการทวงหนี้ หรือไม่ได้รับการตอบรับจากลูกหนี้ไม่ถือว่าเป็นการทวงหนี้ตามกฎหมายและเจ้าหนี้ สามารถทวงหนี้โดยบุคคล โทรศัพท์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างวันจันทร์-ศุกร์ ระหว่าง 8.00 น.- 20.00 น. วันหยุดราชการ 08.00 น.-18.00 น. ได้ไม่เกินวันละ 1 ครั้ง ข้อปฏิบัติในการทวงหนี้ หากเจ้าหนี้ละเมิดข้อห้ามจะมีผลอย่างไร หากเจ้าหนี้ฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการทวงหนี้ถือว่ามีความผิด สามารถแจ้งร้องเรียนเอาผิดได้ โดยคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้สามารถมีคำสั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี…
-
ถูกเลิกจ้างมีสิทธิอะไรบ้าง ?
การเลิกจ้างเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายองค์กร และในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง กฎหมายแรงงานในประเทศไทยกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการสูญเสียงาน ในบทความนี้จะสำรวจหลักการเกี่ยวกับค่าชดเชยเลิกจ้าง รวมถึงข้อกำหนดและวิธีการคำนวณ ดังนั้นแรงงานจึงจำเป็นต้องมี “หลักประกัน” หรือ “ค่าชดเชย” เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมีเงื่อนไขในการคุ้มครองหลายรูปแบบ สิทธิค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ซึ่งระบุเกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้างในการได้รับค่าชดเชยเมื่อถูกเลิกจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือ “เลิกจ้างแบบไม่เป็นธรรม” หมายถึงตัวเราไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้า โดยลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชยเท่ากับฐานเงินเดือนล่าสุดและจำแนกเป็นขั้นบันไดตามอายุงานดังนี้ ค่าตกใจ หรือค่าบอกกล่าวล่วงหน้า มีเงื่อนไขดังนี้: พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ระบุเงื่อนไขที่นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยหากเลิกจ้างพนักงานในกรณีเช่นการปรับปรุงหน่วยงาน พนักงานทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ทิ้งงานโดยไม่มีเหตุจำเป็น หรือพนักงานลาออกเอง การรู้เรื่องนี้จะช่วยให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างรู้ถึงสิทธิ์และข้อผูกพันเกี่ยวกับการเลิกจ้างได้ดีขึ้น
-
“ค่าล่วงเวลา: ข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง”
ในปัจจุบัน การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานเป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อความเป็นธรรมและสิทธิของแรงงานในประเทศไทย แม้จะมีกฎหมายแรงงานที่ชัดเจน แต่ยังมีการกระทำที่ผิดกฎหมายแรงงานเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง ดังนั้น จึงมีกฎหมายที่ออกมาคุ้มครองลูกจ้างในฐานะผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความเป็นธรรมและไม่ถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบเกินสมควร คือการที่ลูกจ้างทำงานล่วงเวลา มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนโอที (OT) หรือค่าล่วงเวลาการทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ตามพระบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าล่วงเวลา 1. ค่าล่วงเวลาในวันทำงาน 2. ค่าล่วงเวลาในวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือวันหยุดตามประเพณี หรือวันหยุดพักผ่อนประจำปี ดังนั้น การเข้าใจและปฏิบัติตามข้อกฎหมายเกี่ยวกับกฎหมายแรงงานเกี่ยวกับค่าล่วงเวลาไม่เพียงแต่ช่วยคุ้มครองสิทธิของลูกจ้างแต่สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นธรรมและเสมอภาค สำหรับทั้งนายจ้างและลูกจ้าง